วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การออกแบบและนำเสนอผ่านสื่อโปสเตอร์

การออกแบบโปสเตอร์


โปสเตอร์ (Poster)
โปสเตอร์ (Poster)หมายถึง สิ่งพิมพ์ที่ที่เป็นแผ่นเดียวมีขนาดใหญ่หรือเล็กแล้วแต่ผู้จัดทำ ใช้ติดตามสถานที่ต่าง ๆ ในแนวตั้ง เช่น ผนัง ตู้กระจก เสาไฟฟ้า ฯลฯ มีเนื้อหาสาระเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการหรืองานอื่นๆที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ ส่วนใหญ่แล้วมักนำเสนอเพียงแนวความคิดเดียวเป็นหลักใหญ่

ประโยชน์ของโปสเตอร์
ประโยชน์ของโปสเตอร์อาจมีหลายจุดประสงค์ เช่น
1.โดยส่วนมากจะเป็นเครื่องมือในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาสินค้า/บริการ งานต่างๆ งานดนตรี ภาพยนตร์ 
2. เพื่อใช้ในการศึกษาน าเสนอสาระใดสารหนึ่ง
3. เพื่อเป็นสื่อการสอนอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ 
4. นำเสนอผลงานทางวิชาการ

ลักษณะของภาพโปสเตอร์ที่ดี
1. รูปแบบต้องสอดคล้องกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
2. มีลักษณะ เด่นชัด มองเห็นสะดุดตา
3. ข้อความนั้นต้องสั้น กระชับได้ใจความ
4. รูปภาพเร้าความสนใจ ชวนติดตาม
5. มีการสื่อความหมายได้ตามวัตถุประสงค์
6. แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์
7. มีขนาดใหญ่พอที่จะมองเห็นได้ในระยะไกล
8. ในเรื่องการนำเสนอต้องมีข้อมูลเพียงเรื่องเดียวและที่สำคัญตรงประเด็น

ส่วนประกอบของโปสเตอร์
1. ข้อความพาดหัว
2. รายละเอียด
3. รูปภาพประกอบ
4. คำขวัญ/สโลแกนเพื่อจูงใจ/ข้อความลงท้าย
5. โลโก้ของหน่วยงานเจ้าของโปสเตอร์
6. อื่น ๆ

หลักการออกแบบโปสเตอร์
1. ตัวอักษรต้องตัดกับพื้นหลัง
2. ไม่ควรใส่ข้อความแน่นหรือมีจำนวนมากเกินไป
3. ควรคำนึงถึงหลักทฤษฎีสีและศิลปะในการออกแบบ
4. ควรเว้นระยะขอบประมาณ 0.5 ซ.ม.
5. ภาพให้เหมาะสมกับเนื้อหา


ข้อควรคำนึงในการเลือกกระดาษพิมพ์
1. งบประมาณ
2. จำนวนพิมพ์
3. ระบบของเครื่องพิมพ์
4. วัตถุประสงค์ในการนำไปใช้

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การออกแบบและนำเสนอด้วยสื่อดิจิทัลและสื่อประสม

พื้นฐานการผลิตวีดิทัศน์หนังสั้น
การออกแบบและนำเสนอวีดิทัศน์หนังสั้นอย่างสร้างสรรค์



หนังสั้น หมายถึง เรื่องที่นำเสนอทั้งภาพและเสียงและในระยะเวลาอันจำกัดประมาณ 5-10 นาที โดยสะท้อนเรื่องราว สาระที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว


ขั้นตอนการผลิตหนังสั้น

1. ขั้นเตรียมการผลิต (Pre-Production)
• 1.1 สำรวจความต้องการและวิเคราะห์ปัญหา
• 1.2 วิเคราะห์เนื้อหาและกำหนดเรื่อง
• 1.3 เขียนบทวีดิทัศน์
• 1.4 วางแผนการถ่ายทำ

2. ขั้นการผลิต (Production)
คือ การถ่ายทำวีดิทัศน์เป็นการบันทึกภาพวีดิทัศน์ ตามบทวีดิทัศน์ที่ได้เขียนไว้ ในการถ่ายทำควรจะต้อง
ศึกษาบทวีดิทัศน์อย่างละเอียด ถ่ายทำให้ได้ภาพครบตามที่ต้องการ

3. ขั้นหลังการผลิต (Post-Production)
คือ การตัดต่อลำดับภาพ ในขั้นนี้ถือว่าเป็นสุดท้ายของการผลิต เป็นขั้นสำคัญอีกขั้นหนึ่งที่ต้องมีความละเอียดรอบคอบทั้งทางด้านภาพและเสียง โดยการนำภาพต่างๆ เสียง กราฟิก มาเรียบเรียงลำดับให้เป็นเรื่องราวตามบทวีดิทัศน์ที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งการแก้ไข ปรับแต่งให้มีความเหมาะสม สวยงาม 
น่าสนใจติดตาม และจะต้องคำนึงถึงรูปแบบของสื่อที่จะเผยแพร่อีกด้วย

4. ขั้นการประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผล เป็นการประเมินผลสื่อ เมื่อได้ผลิตรายการวีดิทัศน์มาแล้วต้องนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริงจำนวนหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาปรับปรุงแก้ไขตามที่เห็นสมควร เพื่อให้วีดิทัศน์มีคุณภาพก่อนจะนำไปเผยแพร่ต่อไป


5. ขั้นเผยแพร่
การเผยแพร่ ในการเผยแพร่วีดิทัศน์ ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ และควรเก็บข้อมูล ข้อแนะนำต่างๆ จากผู้ใช้ เพื่อนำมาแก้ไขในเรื่องอื่นต่อไป

การเขียนบทวีดิทัศน์
บทวีดิทัศน์ คือ เป็นข้อเขียนหรือรายละเอียดที่เขียนขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวกำหนดแนวทาง ในการดำเนินการผลิตรายการวีดิทัศน์ และสื่อความหมายให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ตรงกันและสื่อความหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์

หลักในการเขียนบทที่ดี 
1. บทวีดิทัศน์ควรมีแก่นเรื่อง (Theme) เพื่อให้เรื่องมีเอกภาพ (Unity)
2. มีการวางโครงเรื่องที่ดี (Out line) น่าสนใจให้ติดตาม
3. ควรเลือกรูปแบบของบทให้เหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่อง
4. ภาษาที่ใช้ควรมีความสละสลวยเข้าใจง่ายใช้ภาษาเพื่อการฟังมิใช่ภาษาเพื่อการอ่าน
5. ภาพและเสียงควรมีความสัมพันธ์กัน (relation of sound and picture)
6. ภาพและเสียงของแต่ละช่วงตอนต้องมีความต่อเนื่องกัน
7. คำนึงถึงจำนวนเวลาของรายการ ความยาวของบทต้องสอดคล้องกับเวลาที่มี
8. ผู้เขียนบทควรประสานแนวคิดกับเจ้าของเรื่อง เพื่อให้ได้เนื้อเรื่องที่ถูกต้องสมบูรณ์
9. ขณะที่มีการผลิตรายการผู้เขียนบทควรสังเกตการณ์จากจอมอนิเตอร์ว่าภาพและเสียงที่ปรากฏนั้นเป็นไปตามจินตนาการที่คิดไว้หรือไม่ ถ้าไม่ดีอย่างที่คิด อาจจะให้ข้อคิดเห็นแก่ผู้กำกับเพื่อช่วยกันปรับปรุงแก้ไข
10. เมื่อขั้นตอนการผลิตเสร็จสิ้นลง ตามปกติจะมีการประชุมดูผลงาน เพื่อประเมินผู้เขียนบทต้องเข้าร่วมประเมินคุณภาพของรายการด้วย


  • มุมกล้องและลักษณะภาพในการออกแบบและนำเสนอวีดิทัศน์
Camera angle shots มุมกล้อง

มุมกล้อง (Camera angle) 
มุมกล้องก็เป็นเช่นเดียวกับระยะภาพที่ช่วยให้ผู้ดูสามารถมองเห็นวัตถุได้หลายแง่ หลายมุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้ดูต่อสิ่งนั้นและยังช่วยสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปด้วย

1.  ภาพระดับสายตา (Eye level shot)
เป็นมุมกล้องปกติที่ใช้มากที่สุด ภาพอยู่ใน ระดับสายตาโดยยึดเอาสิ่งที่ถ่ายเป็นหลัก ไม่ใช่สายตาของผู้ถ่าย เป็นการตั้งกล้องในระดับเดียวกันกับสายตาของผู้ชม การเสนอมุมแบบนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง

2. มุมกล้องระดับสูง (High Angle)
ตำแหน่งของกล้องจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าสิ่งที่ถ่ายเวลาบันทึกภาพจึงต้องกดลงมา มุมนี้จะท าให้มองเห็นเหตุการณ์ทั่วถึง เหมาะที่จะใช้กับฉากที่ต้องการ แสดงความงามของทัศนียภาพ อีกทั้งมุมนี้ยังทำให้สิ่งที่ถ่ายมองดูเล็กลง ทำให้รู้สึกต่ำต้อย

3. มุมกล้องในระดับสายตานก (Bird's eye view) 
เป็นการตั้งกล้องในตำแหน่งเหนือศีรษะโดยตรงของสิ่งที่ถ่ายภาพที่ถูกบันทึกจะมีมุมมองเช่นเดียวกับสายตานกที่มองดิ่งลงมายังพื้นดิน มุมกล้องนี้ให้ความรู้สึกสิ้นหวัง หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รวมทั้งตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของผู้ที่อยู่เหนือกว่า


4. มุมกล้องระดับต่ า (Low Angle) 
กล้องจะตั้งในระดับต่่ำกว่าสิ่งที่ถ่าย เวลาบันทึกภาพต้องเงยกล้องขึ้น ภาพมุมต่่ำจะมีลักษณะตรงข้ามกับมุมสูง คือ จะให้ความรู้สึกว่าสิ่งที่ถ่ายนั้นมีอำนาจ มีค่า ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แสดงถึงความสง่างามและชัยชนะ มีพลัง

ลักษณะของภาพที่ถ่าย
เพื่อบอกเนื้อหา หรือเรื่องราวของภาพและลักษณะภาพหรือธรรมชาติของภาพที่ถ่าย
1. ภาพที่ถ่ายจากมุมสูง (aerial shot / bird’s eyes view)
2. ภาพที่ถ่ายในระยะใกล้มาก (Big Close Up Shot)
3. ภาพครึ่งอก (Bust Shot)
4. ภาพเอียง (Canted Shot)
5. ภาพถ่ายข้ามไหล่ (Cross Shot)

  • การเขียนบทวีดิทัศน์หนังสั้น

ประเด็นสำคัญในการเขียนบทโทรทัศน์
1. กระบวนการคิดให้เป็นเรื่องสั้น
2. จากโครงเรื่องสู่บทหนังสั้น
3. การเขียนบทโทรทัศน์โดยค านึงถึงผู้ฟังและผู้ชม
4. พิจารณาด้านความงดงามและเทคนิคการผลิตรายการ
5. รูปเเบบบทโทรทัศน์
6. ประเภทบทโทรทัศน์
7. ขั้นตอนการเขียนบทโทรทัศน์

กระบวนการคิดให้เป็นเรื่องสั้น
1.เล่าเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
2.เล่าเพราะเห็นเจอมา
3.เล่าเพราะจินตนาการ

จากโครงเรื่องเดินสู่การเป็นบท

การยึดหลัก 3 องค์ประกอบ
องค์แรก  คือการปูเรื่อง เปิดตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันกับตัวละคร นำไปสู่องค์ที่ 2
องค์ที่สอง คือส่วนกลางเรื่อง เล่าเรื่องที่ปูไปสุดจุดหักเหอีกครั้งก่อนจะเข้าสู่ climax (ช่วงจบ) 
องค์ที่สาม คือบทสรุปของเรื่องคุณสามารถน าหลัก 3องค์ไปปรับใช้ได้กับการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะโรแมนติก สยองขวัญ หรือหนังแอ็คชั่นเลือดท่วม 

จุดมุ่งหมายของการเขียนบทโทรทัศน์
1.เพื่อกำหนดรูปรายการ
2.เพื่อบ่งบอกถึงเนื้อหาของรายการ
3.เพื่อจัดลำดับข่าวสารความสำคัญของการผลิต

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

องค์ประกอบในการออกแบบสื่อสร้างสรรค์

องค์ประกอบในการออกแบบ (DESIGN ELEMENTS )

1. จุด (Point)
จะเป็นจุดที่ชี้ให้เห็น ตาแหน่งในที่ว่าง หรือที่ต่างๆ ไม่มีความกว้าง ความยาวความลึก จุดให้ความรู้สึกคงที่ไม่มีทิศทาง ไม่ครอบคลุมพื้นที่ จุดจะเกิดอยู่ในบริเวณต่างๆ

2. เส้น (Line)
เส้นเกิดจากการนาจุดหลายๆจุดมาเรียงต่อกันหรือเกิดจากจุดเคลื่อนที่เส้นทางที่จุดเคลื่อนที่ไปคือเส้นมีความยาวไม่มีความกว้างหรือความหนามากการกาหนดทิศทางของเส้นให้อยู่ในแนวที่ต่างกันจะให้ความรู้สึกที่ต่างกันดูมั่นคงบางครั้งดูเคลื่อนไหวและเจริญงอกงามเติบโต

- เส้นตั้ง (Vertical Line)
ให้ความรู้สึกสูงสง่า แข็งแรง มั่นคง ถ้าสูงมาก ๆ ก็จะให้ความ รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่จะบอกความเติบโต ถ้านามาประยุกต์ในการแต่งกาย โดยใส่เสื้อ ลายแนวเส้นตั้งฉาก แนวดิ่ง จะช่วยให้ดูสูงขึ้น และถ้าออกแบบให้ดูผอมลง อาจใช้เพียง2-3 เส้น


- เส้นนอน (HorizontalHorizontal Line)
ให้ความรู้สึกสงบ ราบเรียบ แน่นอน มั่นคง ปลอดภัย ความนิ่ง พักผ่อนเป็นธรรมชาติ


- เส้นเฉียง (Oblique Line) 
ให้ความรู้สึกไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย ตื่นต้น สนุกสนานแสดงการเคลื่อนที่ ไม่อยู่นิ่ง


- เส้นโค้ง (Curve)
จะให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว นุ่มนวล อ่อนหวาน เชื่องช้า กระชับและเป็นอันหนึ่งอันเดียว






3. ทิศทาง (DIRECTION)
ทิศทางคือลักษณะที่แสดงให้รู้ว่ารูปแบบทั้งหมดมีแนวโน้มไปทางใดทาให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหว(Movement) นาไปสู่จุดสนใจ

4. รูปทรง (FORM)
เกิดจากระนาบที่ปิดล้อมกันทาให้เกิดปริมาตร (Volume) มี 3 มิติคือความกว้างความยาวและความสูงแบ่งออกเป็น2 ชนิดคือรูปทรงเรขาคณิตและรูปทรงธรรมชาติ


- 4.1 รูปทรงเรขาคณิต ( Geometric Form ) เป็นรูปทรงที่มีด้านแต่ละด้านคล้ายกัน มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระเบียบ มีแกนที่สมดุล มักจะประกอบด้วยเส้นตรงและเส้นโค้ง ที่มีแบบแผน





- 4.2 รูปทรงธรรมชาติ ( Original Form) มักจะประกอบด้วยเส้นโค้ง (Curves) เส้นอิสระ ทั้งอยู่ในลักษณะสมดุลและไม่สมดุล รูปทรงธรรมชาติจะให้ความรู้สึกอ่อนไหว




- 4.3 รูปทรงอิสระ (Free Form) รูปด้านแต่ละด้านมักจะไม่สัมพันธ์กัน ไม่มีความสมดุล ไม่เป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวได้

5. ขนาดและสัดส่วน (Size & Scale)
- ขนาด(Size) - ขนาดคือการเปรียบเทียบรูปร่างหรือรูปทรงการวัดสัดส่วนระยะหรือขอบเขต
- ของรูปร่างนั้นๆ
- สัดส่วน(Scale) - สัดส่วนคือความเหมาะสมของสิ่งของตั้งแต่2 สิ่งขึ้นไปมีความสัมพันธ์กัน
- การหาความสัมพันธ์ของขนาดและสัดส่วนในการออกแบบต้องคานึงถึงขนาดและสัดส่วนของผู้ใช้และกิจกรรมภายในเป็นหลัก

การจัดองค์ประกอบ (Composition)
1. ความสมดุล (Balance) คือ ความเท่ากันหรือเท่าเทียมกันทั้งสองข้าง แบ่งออกเป็น
- สมดุลแบบทั้ง2 ข้างเหมือนกัน(Symmetrical balance) ทั้งซ้ายขวาเหมือนกันการสมดุลแบบนี้จะทาให้ดูมั่นคงหนักแน่นยุติธรรมเช่นงานราชการใบวุฒิบัตรประกาศนียบัตรการถ่ายรูปติดบัตรเป็นต้น
- สมดุลแบบ 2 ข้างไม่เหมือนกัน (Asymmetrical balance)ด้านซ้ายและขวาจะไม่เหมือนกัน แต่มองดูแล้วเท่ากันด้วยน้าหนักทางสายตา เช่น สมดุลด้วยน้าหนักและขนาดของรูปทรง ด้วยจุดสนใจ ด้วยจานวนด้วยความแตกต่างของรายละเอียด ด้วยค่าความเข้ม-จางของสี เป็นต้น



หลักและวิธีในการใช้การเน้น -เน้นด้วยการใช้หลักเรื่องContrast
-เน้นด้วยการประดับ
-เน้นด้วยการจัดกลุ่มในส่วนที่ต้องการเน้น
-เน้นด้วยการใช้สี
-เน้นด้วยขนาด
-เน้นด้วยการทาจุดรวมสายตา

ความขัดแย้ง (Contrast)
การจัดองค์ประกอบให้เกิดความแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจหรือให้เกิดความสนุกตื่นเต้นน่าสนใจลดความเรียบน่าเบื่อให้ความรู้สึกฝืนใจขัดใจแต่ชวนมอง


ความง่าย (Simplicity)
เป็นการจัดให้ดูโล่งสบายตาไม่ยุ่งยากซับซ้อนมีมโนทัศน์เดียวลดการมีฉากหลังหรือภาพประกอบอื่นๆที่ไม่จาเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องออกไปเพราะการมีฉากหลังรกทาให้ภาพหลักไม่เด่นนิยมใช้ในการถ่ายภาพที่ปรับฉากหลังให้เบลอเป็นภาพเกี่ยวกับดอกไม้แมลงสัตว์และบุคคลนางแบบเป็นต้น

ความลึก (Perspective) ให้ภาพดูสมจริงคือภาพวัตถุใดอยู่ใกล้จะใหญ่ถ้าอยู่ไกลออกไปจะมองเห็นเล็กลงตามลาดับจนสุดสายตาซึ่งมีมุมมองหลักๆอยู่ 3 ลักษณะคือวัตถุอยู่สูงกว่าระดับตาวัตถุอยู่ในระดับสายตาและวัตถุอยู่ต่ากว่าระดับสายตา

จิตวิทยาสีของการออกแบบและการนำเสนอ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสี

แม่สีหรือสีขั้นต้น ทั้งสามประกอบด้วย สีแดง,เหลือง และน้ำเงิน เหตุที่ทั้งสามนี้ถือว่าเป็นแม่สีหลัก เพราะว่าสีทั้งสามเป็นสีไม่สามารถเกิดขึ้นจากการผสมสีอื่นๆ และยังเป็นสีต้นกำเนิดของสีอื่นๆ

การผสมสี (Color Mixing)

รูปแบบการผสมสีเพื่อให้เกิดเป็นสีต่างๆ สามารถแบ่งได้ 2 แบบคือ
- การผสมสีของแสง หรือการผสมสีแบบบวก
- การผสมสีของแสงของวัตถุ หรือการผสมสีแบบลบ

หลักการพิจารณาเกี่ยวกับการใช้สี
- ใช้สีสดเพื่อกระตุ้นให้เห็นชัดเจน เพื่อการมองระยะสั้น เช่นการทำสื่อโฆษณา
- นึกถึงหลักความเป็นจริง ความถูกต้อง
- นึกถึงงบประมาณ การใช้สีเพิ่ม หมายถึงเพิ่มงบ
- ใช้สีให้เหมาะสมกับวัยของผู้บริโภค
- การใช้สีมากเกินอาจทำให้ลดความเด่นของงานและเนื้อหาสาระที่นำเสนอ
- ควรหลีกเลี่ยงการใชสีพื้นในสิ่งพิมพ์ที่มีพื้นที่ว่างมากๆ เพราะจะขาดความเร้าใจ
- การใช้สีบนตัวอักษร ข้อความต้องชัดเจน อ่านง่าย ควรงดเว้นสีตรงกันข้าม ในปริมาณเท่าๆกัน บนพื้นเดียวกันหรือใกล้เคียง

  สีขาวให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ สะอาด สดใส เบาบาง อ่อนโยน เปิดเผย การเกิด ความรัก ความหวัง ความจริง ความเมตตา ความศรัทธา ความดีงาม ให้ความรู้สึกรื่นเริง โดยเฉพาะเมื่อใช้กับสีแดง เหลือง และส้ม

  สีฟ้า
ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน

  สีเขียว
เป็นสีในวรรณะเย็น จะสร้างความรู้สึกเย็นสบาย ใช้เป็นสีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ ให้ความรู้สึก สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน การผ่อนคลาย ธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น

  สีเหลือง
เป็นสีแห่งความเบิกบาน เร้าอารมณ์ และเรียกร้องความสนใจ ให้ความรู้สึกแจ่มใส ความสดใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจาย อำนาจบารมี
ให้ลองสังเกตดูว่า วันที่ท้องฟ้ามืดครื้มปราศจากแสงแดด เราจะรู้สึกหงอยเหงา หดหู่ แต่พอมีแสงแดด ท้องฟ้าสว่าง มีสีเหลือง เราจะรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น

  สีแดง
เป็นสีที่สร้างความตื่นเต้น และกระตุ้นสมอง สีแดงปานกลางแสดงถึงความมีสุขภาพดี ความมีชีวิต ความรัก ความสำคัญ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง
สีแดงจัดมีความหมายแฝงด้านกามารมณ์ นอกจากนี้สีแดงยังสร้างความรู้สึกรุนแรง ให้ความรู้สึกร้อน กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง มันจะใช้กันกรณีที่เกี่ยวกับความตื่นเต้น หรืออันตราย

  สีส้ม
ให้ความรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรี้ยว การระวัง เป็นสีที่เร้าความรู้สึก ปรกติควรใช้แต่น้อยเมื่อเทียบกับสีอื่น สังเกตว่าคนที่อยู่ในห้องสีส้มจะอยู่ได้ไม่นาน

  สีน้ำตาล
ให้ความรู้สึกอบอุ่น ได้พักผ่อน แต่ควรใช้ร่วมกับสีส้ม เหลือง หรือสีทอง เพราะถ้าใช้สีน้ำตาลเพียงสีเดียว อาจทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ได้

  สีเทา
ให้ความรู้สึก เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถ่อมตน สีนี้มีข้อดีคือทำให้เย็น แต่สร้างความสร้างความรู้สึกหม่นหมองได้ ควรใช้ร่วมกับสีที่มีชีวิต โทนสว่างอย่างน้อยหนึ่งสี

สีใกล้เคียง (Relate Colors)

สีที่อยู่ใกล้เคียงกัน ในวงจรสี เราสามารถ กาหนดสีใกล้เคียงได้โดย ยึดสีใดสีหนึ่งเป็นหลักก่อน แล้วนับไปทางซ้ายหรือขวาทางใดทางหนึ่ง หรือทั้ง 2 ทาง นับร่วมกับสีหลักแล้วไม่เกิน 4 สี ถือว่าเป็นกลุ่มสีที่กลมกลืน และถ้าจะให้สีกลมกลืนกันที่สุดก็นับเพียง 3 สี เท่านั้น




การกลับค่าของสี (DISCORD)

การสร้างความแตกต่างหรือความขัดแย้งที่เหมาะสมได้จังหวะส่งเสริมให้มีสีสันน่าดูขึ้นทั้งนี้เพราะการใชสีกลมกลืนบางครั้งดูจืดชืดเกินไปการสร้างความขัดแย้งในบางจุดทาให้ภาพดูตื่นเต้นขึ้น


คู่สีตรงข้าม
โครงสีตรงข้ามคือการใช้ชุดสีหรือคู่สีที่ตัดกันรุนแรงเป็นสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงจรสีและเป็นสีที่อยู่ต่างวรรณะกันสีสองสีเมื่อนามาใช้คู่กันจะทาให้สีทั้งสองมีความสว่างและสดใสมากขึ้นการใช้สีแบบนี้ให้ความรู้สึกตื่นเต้นมีชีวิตชีวามีพลังการเคลื่อนไหวและเร้าความสนใจได้ดีอย่างไรก็ตามอาจทาให้ผู้ดูรู้สึกเบื่อได้ง่ายเช่นกันสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงจรสีมีทั้งหมด 6 คู่คือ

1. สีเหลือง กับ สีม่วง

2. สีเขียว กับ สีแดง

3. สีส้ม กับ สีน้ำเงิน

4. สีเขียวเหลือง กับ สีม่วงแดง

5. สีเขียวน้าเงิน กับ สีส้มแดง

6. สีส้มเหลือง กับ สีม่วงน้ำเงิน


การใช้สีสมดุล (Symmetrical Coloring)  เป็นการใช้สีโดยแบ่งภาพออกเป็นสองส่วนซ้ายขวาหรือส่วนบนล่างเมื่อระบายสีลงในด้านใดให้ระบายสี
นั้นในด้านตรงกันข้ามด้วยจะได้ภาพที่มีสีสดในประสานส่งเสริมกันอย่างน่าดูยิ่งโดยมีความสมดุลของทั้งสองด้านเป็นตัวควบคุม

การใช้สีจตุสัมพันธ์ (Quadratic Color) 
สีจตุสัมพันธ์ เป็นสีที่มีค่าของสีที่ตัดกัน โดยน้าหนัก ไม่ใช้ตัดกัน โดยแท้จริง (True Contrast) หรือเป็นสีคู่ (Complementary Colors) แต่น้าหนักที่ตัดกันนั้น น้อยกว่า สีไตรสัมพันธ์ และสีชุดจตุสัมพันธ์นี้ จะเป็นสีที่อยู่ในวรรณะใดวรรณะหนึ่ง (Warm Tone or Cool Tone) อยู่2สีและอีกวรรณหนึ่ง 2 สีประสิทธิภาพของการใช้สีไตรสัมพันธ์นี้ นอกจากค่าน้าหนัก และความจัดของสีใไม่รุนแรงมากนักแล้ว ยังมีความหลากหลายของสี มากขึ้นซึ่งการนาไปใช้ต้องพิจารณาร่วมกับ ความเหมาะสมของแต่ละ ชิ้นงาน และแต่ละจุดประสงค์ด้วย

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การออกแบบและการนำเสนออย่างสร้างสรรค์ด้วยคอมพิวเตอร์

การออกแบบสื่อด้วยดิจิทัลนำเสนอผลงานด้วย Power point


     การนำเสนอโดย Power point
      - ต้องมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์
      - เสียเวลาในการเรียนวิธีใช้โปรแกรม
      - ยุ่งยากต่อการออกแบบสไลด์
      - ต้องการเครื่องฉายสไลด์
                     
     ทำไมต้อง Power point ?
      - แก้ไขข้อความได้ง่าย
      - ภาพที่ออกมาคมชัด
      - ง่ายต่อการควบคุมการเปลี่ยนสไลด์
      - เพิ่มภาพประกอบได้
      - ใส่ภาพเคลื่อนไหวประกอบเสียงได้
      - พิมพ์ออกเพื่อเตรียมตัวนำเสนอ



     ส่วนประกอบในสไลด์
      - แผ่นสไลด์                        
      - ตัวอักษร                           
      - Flow Chart                       
      - ตาราง                              

      - ภาพประกอบ
      - ภาพเคลื่อนไหว
      - กราฟ
      - เสียง


     การวางรูปแบบของสไลด์
      - ใช้รูปแบบสไลด์ 35 mm.
      - วางแนวนอน
      - ใช้เทมเพลตที่มีในโปรแกรม
      - เว้นขอบทั้งสี่ด้านให้ว่าง 0.5 นิ้ว
      - จัดเนื้อหาให้อยู่กลางสไลด์
                        
     การใช้ตัวอักษรประกอบ
      - ใช้ข้อความแทนประโยค
      - มีข้อมูลควรจัดให้เป็นหัวข้อ
      - ใช้ Key word เพื่อเพิ่มจุดสนใจ
                      
     การใช้ภาพประกอบ
      - ภาพที่ใช้ต้องช่วยเสริมข้อความที่เสนอ
      - ไม่ควรมีตัวอักษรในภาพถ้าไม่จำเป็น
      - ตัวอักษรที่ใช้ควรให้เงาเพื่อเพิ่มความชัด
      - ลดสิ่งที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิง
      - ภาพที่ใช้อาจทำให้ขนาดของแฟ้มข้อมูลใหญ่เกินไป
   
     แนวทางการออกแบบ Power point
      - สื่อถึงเนื้อหาที่นำเสนอ
      - หนึ่งสไลด์ต่อหนึ่งความคิด
      - ชัดเจนและสะดวกต่อการอ่าน
      - ความสมดุลและคงเส้นคงวา
      - ใช้ภาพประกอบเมื่อจำเป็น
    
     ส่วนประกอบการออกแบบ Power point
      - Introduction ได้แก่ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้นำเสนอ หน่วยงาน
      - ลำดับหัวข้อในการนำเสนอ
      - เนื้อหาตามลำดับหัวข้อ
      - บทสรุปการนำเสนอ
      - อ้างอิงหรือขอบคุณ



      การเตรียมตัวนำเสนอ
      - ศึกษาข้อมูลทั่วไปสำหรับการนำเสนอ
      - ศึกษาวิธีการควบคุม Slide Show
      - นำเสนอผลงาน       


วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การสื่อสารและทฤษฎีการสื่อสาร

ความหมายของกระบวนการสื่อสารกับการออกแบบและนำเสนอ
การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอด/แลกเปลี่ยนเรื่องราวความต้องการ ความคิดเห็น
ความรู้สึก ระหว่างผู้ส่ง-ผู้รับ ผ่านสื่อ ช่องทาง


ความสำคัญของการสื่อสาร
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จำเป็นต้องมีการสื่อสารเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน



ลักษณะของการสื่อสาร
1. วิธีการสื่่อสาร
    1.1 การสื่อสารด้วยวาจา หรือ วัจนภาษา (Oral  Communication)
    1.2 การสื่อสารที่มิใช่วาจา หรือ อวัจนภาษา (Nonverbal  Communication)
    1.3 การสื่อสารที่ใช้จักษุสัมผัส หรือ การเห็น (Visual  Communication)

2. รูปแบบของการสื่อสาร
    2.1 การสื่อสารทางเดียว (One-way  Communication)
    2.2 การสื่อสารสองทาง (Two-way  Communication)

3. ประเภทของการสื่อสาร
    3.1 การสื่อสารในตนเอง (Self  Communication)
    3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Intrapersonal  Communication)
    3.3 การสื่อสารแบบกลุ่มย่อย (Small  group  Communication)
    3.4 การสื่อสารแบบกลุ่มใหญ่ (Large  group  Communication)
    3.5 การสื่อสารมวลชน (Mass  Communication)



องค์ประกอบของการสื่อสาร
1. ผู้ส่งสาร (Source or Sender)
2. สาร (Message)

3. สื่อหรือช่องทาง (Media or Channel)
4. ผู้รับสาร (Receiver)
5. ผล (Effect)
6. ผลย้อนกลับ (Feedback)


อุปสรรคของการสื่อสาร
1. คำพูด (Verbalism)
2. ฝันกลางวัน (Day  Dreaming )
3. ข้ออ้างถึงที่ขัดแย้ง (Referent  Confusion)

4. การรับรู้ที่จำกัด (Limited  Perception) 
5. สภาพแวดล้อมทางกายภาพไม่เอื้ออำนวย (Physical  Discomfort)

6. การไม่ยอมรับ (Inperception)


วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความหมายของการออกแบบและการนำเสนออย่างสร้างสรรค์

1. ความสำคัญของการออกแบบและการนำเสนออย่างสรรค์กับการพัฒนาชุมชน
หมายถึง การรู้จักวางแผนจัดตั้งขั้นตอน และรู้จักเลือกใช้วัสดุวิธีการเพื่อทำตามที่ต้องการนั้น โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบและคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตามความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงผลงานหรือสิ่งต่างๆที่มีอยู่แล้วให้เหมาะสมมีความแปลกใหม่ขึ้น ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่สนองความต้องการในสิ่งใหม่ๆของมนุษย์ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดและมีความสะดวกสบายมากขึ้น
หรือเป็นการวางแผนของการทำงาน งานออกแบบจะช่วยให้การทำงานเป็นไปตามขั้นตอนอย่างเหมาะสม และประหยัดเวลา ดังนั้นอาจถือว่าการออกแบบ คือ การวางแผนการทำงานก็ได้


2. ภาพความประทับใจในการพัฒนาชุมชน พร้อมบอกถึงความประทับใจ
ที่เลือกภาพนี้มาก็เพราะเห็นว่า ประชาชนทุกคนมีการร่วมแรงร่วมใจกัน สามารถรวมตัวเข้าเป็นกลุ่มเป็นองค์กรที่ต่างก็อาศัยอยู่ในขอบเขตพื้นที่ต่างๆกันซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งพัฒนาชุมชนก็เป็นกระบวนการศึกษาแก่ประชาชนเพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ ในการคิด ตัดสินใจ และดำเนินการแก้ปัญหา  ซึ่งบุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิและสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ และมนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่